โกศล อนุสิม
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้พูดเสียงดังฟังชัดผ่านสื่อ เห็นทั้งภาพ ได้ยินทั้งเสียงแจ่มแจ้งว่า คณะรัฐมนตรีชุดนี้ยอมรับว่าขี้เหร่อยู่บ้าง โดยยกตัวอย่างรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ได้ตำแหน่งมาเพราะบารมีของสามี ทั้งที่ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่ต้องทำหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่จริงอยากได้คนอื่นมานั่งทำหน้าที่ แต่ขืนไม่ได้ จึงต้องปล่อยให้ "ขี้เหร่" ไป
หลังจากที่นายกรัฐมนตรีพูดเช่นนี้ บรรดาผู้คนจากพรรคเพื่อแผ่นดินก็ออกมาพูดในเชิงไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนายกรัฐมนตรี จึงมีคนวิเคราะห์ไปล่วงหน้าว่า เห็นทีรัฐบาลผสม 6 พรรคนี้มีทีท่าว่าจะอยู่ได้ไม่กี่เพลา
บ้างก็ว่า 6 เดือนบ้าง 1 ปี บ้าง 1 ปีกับ 6 เดือนบ้าง ว่างั้น
เพราะลำพังการคุยกันในคณะรัฐบาลก็มีทีท่าว่าจะไม่ค่อยรู้เรื่อง และไม่มีใครยอมใครกันอยู่แล้ว ยังมีฝ่ายค้าน "มืออาชีพ" อย่างพรรคประชาธิปัตย์คอยตรวจสอบถ่วงดุล ซึ่งผู้คนในวงการเมืองย่อมเคยรู้ฤทธิ์เดชของฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นมืออาชีพเพียงไร
นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือนายสมัคร สุนทรเวชนั้น ก็เคยได้รับพิษสงของพรรคประชาธิปัตย์มาแล้ว เมื่อครั้งที่เกิดกรณี "งูเห่า" ในพรรคประชากรไทยเมื่อหลายปีมาแล้ว รวมทั้งนายบรรหาร ศิลปะอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ ก็แทบกระอักเลือดเพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคประชาธิปัตย์มาแล้ว เมื่อครั้งที่นายบรรหารดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่จะอย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ชอบพรรคพลังประชาชนและ นายสมัคร สุนทรเวช คนที่ไม่ชอบทั้งหลายก็ควรต้องยอมรับในมติของคนส่วนมากที่แสดงออกมาผ่านการเลือกตั้ง ให้รัฐบาลนายสมัครได้ทำงานไปอย่างเต็มที่ เราผู้ไม่เห็นด้วยไม่ว่าจะเป็นใคร เป็นคนเดินดินหรือขี่เรือบิน ก็คอยตรวจสอบเอาไว้เสมอๆ หากทำไม่ดีสมคำคุยก็จะได้จัดการตามวิถีทางประชาธิปไตย (โดยไม่ใช้รถถัง) กันต่อไป
เคยฝากธรรมะไปถึงคณะรัฐบาลแล้วในครั้งก่อนๆ คราวนี้ขอฝากอีกสักนิดหนึ่งเป็นการย้ำเตือนความทรงจำและเพื่อให้กำลังใจรัฐบาลทั้งคณะด้วยครับ
อันดับแรก อยากฝากถึงคณะรัฐบาล ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นคณะรัฐบาลตัวแทนของคนอื่น คือทำงานแทนคนอื่น ไม่ใช่ตัวจริง ทั้งยังคิดคนละอย่าง ทำคนละทาง แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาลที่ต้องทำงานเพื่อประชาชนทั้งประเทศแล้ว
ขอท่านจงตรองให้ดีครับ ว่าท่านจะทำงานเพื่อประชาชน หรือเพื่อคนที่อยู่เบื้องหลัง
ผมขอฝากท่านให้นึกถึงธรรมะของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคณะรัฐมนตรีทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดก็เป็นชาวพุทธ คงท่องได้จำได้ โดยเฉพาะท่านนายกรัฐมนตรี ธรรมที่ผมอยากฝากท่านให้นึกถึงก็คือ อปริหานิยธรรม
ผมขอยกคำอธิบายจากหนังสือวิชาพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มาให้ท่านคณะรัฐมนตรีอ่านทบทวนความทรงจำว่า อปริหานิยธรรมนี้เป็นหลักธรรมสำหรับใช้ในการปกครอง เพื่อป้องกันมิให้การบริหารหมู่คณะเสื่อมถอย แต่กลับเสริมให้เจริญเพียงส่วนเดียว สามารถนำไปใช้ได้ทั้งหมู่ชนและผู้บริหารบ้านเมืองและพระภิกษุสงฆ์ ดังนี้คือ
อปริหานิยธรรมสำหรับหมู่ชนและการบริหารบ้านเมือง เป็นหลักในการปกครอง โดยปฏิบัติตามหลักการร่วมรับผิดชอบที่จะช่วยป้องกันความเสื่อม นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองโดยส่วนเดียว มี 7 ประการคือ
1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เป็นการประชุมพบปะปรึกษาหารือกิจการงานต่าง ๆ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ร่วมกันโดยสม่ำเสมอ
2. พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุม และทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการประชุมและการทำกิจกรรมทั้งหลายที่พึงกระทำร่วมกัน หรือพร้อมเพรียงกันลุกขึ้นป้องกันบ้านเมือง
3. ไม่บัญญัติ หรือล้มเลิกข้อบัญญัติต่าง ๆ เป็นการไม่เพิกถอน ไม่เพิ่มเติม ไม่ละเมิดหรือวางข้อกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อันมิได้ตกลงบัญญัติไว้ และไม่เหยียบย่ำล้มล้างสิ่งที่ตกลงวางบัญญัติไว้แล้ว ถือปฏิบัติมั่นอยู่ในบทบัญญัติใหญ่ที่วางไว้เป็นธรรมนูญ
4. ให้ความเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เป็นผู้มีประสบการณ์ยาวนาน ดังนั้นเราต้องให้เกียรติ ให้ความเคารพนับถือ และรับฟังความคิดเห็นของท่านในฐานะที่เป็นผู้รู้และมีประสบการณ์มามาก
5. ไม่ข่มเหงสตรี เป็นการให้เกียรติและคุ้มครองสตรี มิให้มีการกดขี่ข่มเหงรังแก
6. เคารพบูชาสักการะเจดีย์ คือการให้ความเคารพศาสนสถาน ปูชนียสถาน อนุสาวรีย์ประจำชาติ อันเป็นเครื่องเตือนความจำ ปลุกเร้าให้เราทำความดี และเป็นที่รวมใจของหมู่ชน ไม่ละเลย พิธีเคารพบูชาอันพึงทำต่ออนุสรณ์สถานที่สำคัญเหล่านั้นตามประเพณีที่ดีงาม
7. ให้การอารักขาพระภิกษุสงฆ์หรือผู้ทรงศีล เป็นการจัดการให้ความอารักขา บำรุง คุ้มครอง อันชอบธรรม แก่บรรพชิต ผู้ทรงศีลทรงธรรมบริสุทธิ์ซึ่งเป็นหลักใจและเป็นตัวอย่างทางศีลธรรมของประชาชน เต็มใจต้อนรับและหวังให้ท่านอยู่
คำอธิบายจากหนังสือมัธยมศึกษาปีที่ 5 นี้ คณะรัฐมนตรีท่านคงเข้าใจได้ เพราะใช้ภาษาไม่ยาก จึงขอฝากไว้แก่ท่านที่จะบริหารบ้านเมือง โปรดนำไปใช้บ้าง โดยเฉพาะข้อที่ 1-4 นั้นสำคัญต่อการบริหารบ้านเมืองโดยตรง
เรื่องนี้อาจซ้ำกับตอนที่แล้วๆ มาบ้าง แต่ก็จำเป็น ขอท่านทั้งหลายได้พิจารณาด้วย เพราะนี่เป็นคำสั่งสอนขององค์พระบรมศาสดา เป็นอริยสัจ คือ ความจริงแท้เสมอ
เมื่อท่านนำใช้ได้ดีๆ ทำสิ่งดีๆ แก่บ้านเมือง เวลา 4 ปีอาจอยู่ครบจนต่อได้อีกหลายสมัย
ถ้าไม่สนใจก็ ตัวใครตัวมันนะครับท่าน
No comments:
Post a Comment