Wednesday, June 24, 2009

การพัฒนาตนเองแนวพุทธ

การพัฒนาตนเองแนวพุทธ

(สำหรับทบทวน)

C,Akap,M7Dev ........................................................................................................................นายแพทย์เอกชัย จุละจาริตต

ทุก ๆ คนต้องศึกษาหาความรู้จนวาระสุดท้ายของชีวิต เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลความรู้และความสามารถไว้ในความจำของตนเอง สำหรับใช้เป็นข้อมูลในการปฏิบัติงานและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ.

การศึกษาวิชาการทางโลก มักจะมุ่งเน้นในเรื่องการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางวิชาการ(ทางโลก)ในความจำ และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการประกอบอาชีพ และการดำเนินชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัย ๔ และอื่น ๆ สำหรับดับความทุกข์ทางร่างกายเป็นหลัก.

การศึกษาวิชาการทางธรรม มุ่งเน้นในเรื่องการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการพัฒนาจิตของตนเอง โดยการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ เพื่อให้พ้นความทุกข์ทางจิตใจ โดยไม่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น และพัฒนาจิตใจให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐ.

การศึกษาวิชาการทั้งทางโลกและทางธรรมไปพร้อม ๆ กัน รวมทั้งฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันไปด้วย จะทำให้ท่านมีประสบการณ์ มีความชำนาญ จนสามารถศึกษา ปฏิบัติงาน และดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ ทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป ซึ่งเป็นชีวิตที่ประเสริฐของท่าน

เนื่องจากการการปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่มักจะมุ่งตรงไปที่การใช้ข้อมูลสติปัญญาทางโลกในความจำเป็นหลัก และมีการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมน้อยลง จึงอาจเป็นเหตุให้การปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตมีกิเลสเจือปนเข้ามาในความคิดและการกระทำ เป็นผลให้การทำงานขาดประสิทธิภาพ ผลงานไม่บริสุทธิ์ ไม่ยุติธรรม และไม่มีคุณค่า ขณะเดียวกัน การดำเนินชีวิตก็มักจะไม่บริสุทธิ์ และอาจมีความทุกข์ทางจิตใจอยู่เสมอ.

เนื้อหาในบทความนี้ เป็นการแนะนำวิธีปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตโดยใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทาง โลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน เพื่อไม่ให้มีกิเลสเจือปนเข้ามาในความคิดและการกระทำต่าง ๆ จึงทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ มีความบริสุทธิ์ มีความยุติธรรม มีคุณค่า ไม่มีความทุกข์ทางจิตใจ ซึ่งเป็นความสำเร็จของชีวิตทั้งทางโลกรวมทั้งทางธรรมไปพร้อม ๆ กันด้วย.

ประโยชน์ของการพัฒนาจิตแนวพุทธ

การพัฒนาจิต(จิตใจ)ตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นวิชาการทางด้านจิต(จิตใจ)ที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ทุกคนสามารถพิสูจน์ได้โดยง่าย ไม่เกี่ยวข้องกับความหลงเชื่อ. เมื่อท่านได้ศึกษาและทดลองฝึกปฏิบัติดู จะได้รับผล ภายในวินาทีที่ลงมือฝึกปฏิบัติ คือ จะมีความเบาสบาย สงบ ไม่มีความทุกข์ภายในจิตใจ และจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะเป็นเรื่องของการใช้สติปัญญาของตนเอง.

ความทุกข์ทางจิตใจของท่านที่น่าจะพบได้บ่อยเมื่อเกิด "ความเกินความพอเหมาะพอควร(นอกทางสายกลาง)" ในเรื่องต่าง ๆ เช่น ความวิตกกังวล ความเครียด ความเหนื่อยอ่อน การพักผ่อนไม่เพียงพอ ปัญหาสุขภาพ การเจ็บป่วย การเดินทาง ค่าใช้จ่าย ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ความรัก ความหลงเชื่อ ความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ความโกรธ ความไม่เท่าเทียม ความเซง ความเบื่อหน่าย ความท้อแท้ ความพ่ายแพ้ ความไม่สมหวัง ความเสียใจ ความไม่สบายใจที่เกินความพอเหมาะพอควร เป็นต้น. ความทุกข์ทางจิตใจที่เกิดจากความเกินพอดีในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าว สามารถป้องกันและดับได้โดยง่าย ด้วยการปฏิบัติธรรมหรือบริหารจิตอย่างง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน.

ในชีวิตประจำวัน การมีสติในการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ ทำการรู้เห็นและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรม จึงมีประโยชน์อย่างมากมายต่อท่าน ทั้งด้านการปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้ :-

ประโยชน์ด้านการปฏิบัติงาน

การจะพัฒนาจิตใจของตนเองได้ดีนั้น ต้องศึกษาเรื่องสติและฝึกเจริญสติเป็นประจำ จึงจะทำให้ท่านมีสติตั้งมั่น(มีความตั้งใจแน่วแน่)ในการปฏิบัติงาน ไม่เผลอสติ ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่คิดและทำกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการงาน จึงทำให้มีการคิด พิจารณา ทำความเข้าใจ จดจำ แก้ปัญหา วางแผนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เป็นเหตุให้ผลของการปฏิบัติงานดีขึ้น ตามกำลังความสามารถของข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและข้อมูลด้านสติปัญญาทาง ธรรมที่มีอยู่ในความจำขณะนั้น.

ถ้าไม่มีสติในการทำงาน หรือมีสติน้อย ความคิดฟุ้งซ่านก็มักจะมากขึ้น รวมทั้งมีการใช้เวลาไปคิดและทำเรื่องอื่นบ่อยขึ้น ทำให้ความสามารถของสมองในการคิดพิจารณา การจดจำ และการปฏิบัติงานลดลง ขาดประสิทธิภาพในการทำงาน และผลของการปฏิบัติงานก็จะต่ำลงด้วย.

การฝึกพัฒนาจิตโดยการพยายามมีสติอยู่ตลอดเวลาในการปฏิบัติงาน จะทำให้สมองของท่านมีข้อมูลด้านสติมากขึ้น พอนานเข้า สติในการปฏิบัติงานก็จะมีมากขึ้น ความฟุ้งซ่านก็จะลดลง เป็นผลให้เกิดการพัฒนาความสามารถของการมีสติในการปฏิบัติงานดีขึ้นตามลำดับ และผลของการปฏิบัติงานก็จะดีขึ้นด้วย.

เมื่อท่านมีสติมากขึ้น มีข้อมูลสติปัญญาทางวิชาการมากขึ้น การปฏิบัติงานในเวลาต่อมาจะง่ายขึ้น เพราะสามารถใช้ข้อมูลในความจำมาประกอบการพิจารณาและการปฏิบัติงานได้มากขึ้น เป็นผลให้ความทุกข์ต่าง ๆ ในเรื่องของการปฏิบัติงานและเรื่องที่เกี่ยวข้องลดลง.

การจะพัฒนาจิตได้ดีขึ้นนั้น ต้องเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมอย่างง่าย ๆ และมีคุณค่าไว้ในความจำ พร้อมทั้งมีสติในการใช้ข้อมูลดังกล่าวในการดำเนินชีวิต จะทำให้ท่านมีสติในการรู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ว่าอะไรควรคิดและควรทำ รู้ว่าอะไรไม่ควรคิดและไม่ควรทำ. ถ้าท่านมีสติในการไม่คิดชั่ว(ไม่คิดอกุศล)และไม่ทำชั่ว คงมุ่งแต่การคิดดี(คิดแต่กุศล)และทำแต่ความดี จะเป็นผลให้ท่านมุ่งหน้าไปในด้านของการปฏิบัติงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบ แทนที่จะเสียเวลาไปกับการคิดฟุ้งซ่าน การคิดและทำกิจที่เป็นอกุศล ซึ่งเป็นผลร้ายต่อการปฏิบัติงานโดยตรง.

ประโยชน์ด้านการดำเนินชีวิต

การพัฒนาจิตของตนเอง จะเป็นผลดีต่อจิตใจดังต่อไปนี้ :-

๑. ส่งเสริมสุขภาพจิตให้มีความเข้มแข็ง และอดทนต่อปัญหาและความยากลำบากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในขณะดำเนินชีวิต รวมทั้งในยามเจ็บป่วย โดยไม่มีความทุกข์ทางจิตใจ เช่นเดียวกันกับการมีสุขภาพกายที่ดี ทำให้สามารถต่อสู้กับภาระกิจทางกาย และโรคภัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี.

๒. ป้องกันความทุกข์ทางจิตใจ เพราะเมื่อสมองมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ สมองก็จะทำหน้าที่ในการใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อการป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจคล้ายอัตโนมัติ ถ้ามีการศึกษาและฝึกฝนจนชำนาญ เช่นเดียวกันกับการที่สมองมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกในเรื่องการป้องกันการบาดเจ็บของร่างกาย ซึ่งสมองก็จะทำหน้าที่ได้เองคล้ายอัตโนมัติ ถ้าได้ศึกษาและฝึกซ้อมมาก่อน.

๓. รักษาความทุกข์ทางจิตใจ เพราะเมื่อสมองมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ สมองก็จะสามารถทำหน้าที่ในการใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อการรักษาความทุกข์ทางจิตใจที่กำลังมีอยู่ได้ทุกขณะที่ต้องการ เช่นเดียวกันกับการที่สมองมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและใช้ข้อมูลดังกล่าว ในการรักษาความทุกข์ทางกายที่เกิดขึ้นเมื่อต้องการรักษา ซึ่งเป็นการพึ่งพาข้อมูลสติปัญญาของตนเอง.

๔. ฟื้นฟูจิตใจภายหลังการเจ็บป่วยและหลังจากมีความทุกข์ เพราะเมื่อสมองมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ สมองก็จะทำหน้าที่ในการใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อทำการฟื้นฟูจิตใจได้อย่างรวดเร็วตามเจตนาของเจ้าของ.

สมองทำงานตามที่ท่านมีเจตนา

ในการทำกิจต่าง ๆ จะสังเกตว่า สมองจะทำหน้าที่ในการคิดและในการทำกิจต่าง ๆ ตามที่มีเจตนา เช่น เมื่อเกิดมีเจตนาว่า จะเดินไปที่ใดที่หนึ่ง สมองก็จะทำหน้าที่ในการควบคุมให้มีการเดินไปยังที่นั้น ซึ่งเป็นการแสดงว่า สมองจะตอบสนองต่อความคิดที่เป็นเจตนาเสมอ.

ความเจตนาจึงมีอิทธิพลมาก เช่น บางคนคิดฆ่าตัวตาย ต่อมามีเจตนาฆ่าตัวตาย ร่างกายก็ยังต้องตอบสนองความเจตนานั้นได้.

เมื่อรู้ชัดว่า สมองทำงานเช่นนี้เอง จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะฝึกควบคุมความคิดและการกระทำต่าง ๆ โดยการการตั้งเจตนา ตั้งใจ(มีสติ) และมีความเพียรฝึกปฏิบัติธรรมตามที่ได้ตั้งเจตนาไว้.

ในช่วงเริ่มฝึกการมีสติทางธรรม สมองยังไม่มีข้อมูลด้านนี้มาก่อน จึงมักมีสติไม่ต่อเนื่องนัก ทำให้มีการเผลอสติบ้าง คิดฟุ้งซ่านบ้าง คิดและทำเรื่องอื่น ๆ บ้าง.

เมื่อมีความเพียรในการฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ ไม่นานนัก ก็จะเกิดความชำนาญ นั่นคือสมองทำหน้าที่ในเรื่องของสติทางธรรมได้ดี สามารถทำตามเจตนาได้นานขึ้น และทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น.

การพัฒนาจิตเป็นเรื่องง่าย

เรื่องการพัฒนาจิตมีเนื้อหาน้อยมาก ใช้เวลาศึกษาเพียงนิดเดียวก็สามารถเข้าใจเนื้อหาได้โดยง่าย ไม่ต้องเสียเวลาในการฝึกฝนเป็นพิเศษ ไม่ต้องการสถานที่ ไม่ต้องกลัวเสียสติ และทุกท่านสามารถฝึกฝนตนเองในชีวิตประจำวันได้โดยง่าย ขอเพียงให้ดำเนินการตามแนวทางง่าย ๆ ดังนี้ :-

ในด้านการปฏิบัติงาน

๑. มีเจตนาว่า จะฝึกมีสติ(มีความตั้งใจ)ในการปฏิบัติงานอย่างจริงจัง เช่น ขณะปฏิบัติงานต่าง ๆ จะไม่เผลอสติ ไม่ไปคิดฟุ้งซ่าน ไม่คิดและไม่ทำเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน.

๒. มีความเพียรในการฝึกฝนตนเองในการมีสติรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้อยู่กับเรื่องการปฏิบัติงานตลอดเวลา.

เมื่อท่านตั้งใจลงมือฝึกปฏิบัติตามเจตนาที่ได้กล่าวแล้วเป็นประจำด้วยความเพียร ก็จะทำให้เกิดความชำนาญมากขึ้น จนสามารถรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้อยู่กับกิจที่ท่านเจตนากระทำอยู่ได้คล้ายอัตโนมัติ.

ในด้านการดำเนินชีวิต

ท่านควรฝึกตั้งเจตนาว่า "เราจะไม่คิดอกุศลและไม่ทำอกุศล แต่จะคิดกุศลและทำกุศลโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ด้วยความโลภ และรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ" พร้อมทั้งมีสติคอยรู้เห็นว่า ความคิดและการกระทำต่าง ๆ เป็นไปตามเจตนาหรือไม่ ถ้าเมื่อใดรู้เห็นว่า ไม่เป็นไปตามเจตนาที่ตั้งเอาไว้ ก็ให้มีสติหยุดความคิดและการกระทำนั้น ๆ ทันที เป็นผลให้จิตใจและการกระทำต่าง ๆ กลับมามีความบริสุทธิ์ทันที. เจตนาหรือหลักธรรมดังกล่าว เป็นสรุปหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เรียกว่า "โอวาทปาฏิโมกข์".

หลักการสำคัญในการพัฒนาจิตนั้นง่าย

หลักการสำคัญในการพัฒนาจิตนั้นง่าย คือ จะต้องศึกษาธรรมสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ตรงประเด็น และต้องฝึกปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดความชำนาญในการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิด ให้เป็นไปตามหลักธรรมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีองค์ประกอบโดยย่อ ดังนี้ :-

๑. มีสติปัญญาเห็นชอบว่า การพัฒนาจิตมีประโยชน์โดยตรงต่อการปฏิบัติงานและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ. การเห็นชอบเช่นนี้ จะทำให้เกิดศรัทธาที่จะศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรม เพื่อการพัฒนาจิตใจของตนเองอย่างจริงจัง.

๒. มีสติจดจำหลักธรรมง่าย ๆ และทบทวนบ่อย ๆ ว่า "เราจะไม่คิดอกุศลและไม่ทำอกุศล แต่จะคิดกุศลและทำกุศลโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ด้วยความโลภ และรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ". หลักธรรมดังกล่าวไม่มีการสงวนลิขสิทธิ์ ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพก็นำไปใช้ได้หมด.

๓. มีความเพียรที่จะมีสติ(ตั้งใจ)ในการรู้เห็นความคิดและการกระทำต่าง ๆ. ทันทีที่รู้เห็นความคิดหรือการกระทำต่าง ๆ ไม่เป็นตามหลักธรรม(ในข้อ ๒) ก็ให้หยุความคิดและการกระทำนั้น ๆ ทันที. เมื่อฝึกทำเช่นนี้เป็นประจำ อีกไม่นานนัก สมองก็จะทำหน้าที่ได้เองคล้ายอัตโนมัติ.

หลักการตามข้อที่ ๑ คือการสร้างศรัทธาและเจตนาที่ถูกต้อง หลักการตามข้อที่ ๒ คือจดจำข้อมูลหลักธรรม หลักการตามข้อที่ ๓ คือ มีสติและมีความเพียรในการดำเนินชีวิตตามหลักธรรม.

วิธีการในการพัฒนาจิตนั้นง่าย

การพัฒนาจิตอย่างถูกวิธีเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว ไม่ต้องมีพิธีการ ไม่ต้องมีขั้นตอน เพราะเป็นเรื่องตรงไปตรงมา ขอแต่เพียงให้ท่านเห็นคุณค่า(มีศรัทธา)อย่างจริงใจ แล้วมีความเจตนา ความตั้งใจ และมีความเพียรอย่างจริงจังที่จะทำให้เกิดผลตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้ ในทันทีที่ลงมือปฏิบัติ.

วิธีฝึกพัฒนาจิตในด้านการปฏิบัติงานทำได้โดยง่าย กล่าวคือ ในขณะปฏิบัติงานอยู่นั้น ให้ท่านฝึกตั้งเจตนาและทบทวนเจตนาว่า จะฝึกมีความตั้งใจ และฝึกมีความเพียรที่จะมีสติอย่างต่อเนื่องในการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิด ให้มีการคิดและพิจารณาเนื้อหาของงานด้วยความตั้งใจ ไม่เผลอสติ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่คิดและทำเรื่องอื่นใด ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน.

เมื่อฝึกไปนานเข้า ท่านก็จะมีความชำนาญมากขึ้น จนสมองสามารถทำหน้าที่ตามเจตนาได้เองคล้ายอัตโนมัติ.

วิธีฝึกพัฒนาจิตในด้านการดำเนินชีวิต คือ ในขณะดำเนินชีวิตประจำวัน ให้ฝึกตั้งเจตนาว่า จะมีความตั้งใจ และมีความเพียรที่จะมีสติอย่างต่อเนื่องในการควบคุมความคิดและการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมง่าย ๆ ที่ได้กล่าวถึงแล้ว.

ในทันทีที่ท่านรู้เห็นว่า ความคิดหรือการกระทำต่าง ๆ ที่ไม่ตรงตามหลักธรรม ก็ให้หยุดความคิดและการกระทำนั้น ๆ ทันที ขณะเดียวกัน อย่างปล่อยให้มีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นบ่อยหรือนาน เพราะอาจเกิดความคิดฟุ้งซ่านที่เป็นอกุศลและทำอกุศลได้โดยไม่รู้ตัว เนื่องจากขณะเผลอสติไปคิดอยู่นั้น มักจะไม่สามารถควบคุมความคิดให้เป็นไปตามเจตนาที่ตั้งไว้ได้.

ความคิดเป็นหัวหน้าของการกระทำต่าง ๆ

ตามธรรมชาติ ความคิดจะเป็นหัวหน้าของการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ เช่น เมื่อใดคิดดี การกระทำทางกาย วาจา ใจ ย่อมดีไปด้วย และความสุขสงบก็จะติดตามมา. เมื่อใดคิดชั่วการกระทำทางกาย วาจา ใจ ย่อมชั่วไปด้วย และความทุกข์ก็จะติดตามมา ซึ่งตรงกับคำที่ว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว การกระทำต่าง ๆ จะดีหรือชั่วนั้น เกิดจากใจ(ความคิด คือ องค์ประกอบของใจที่เป็นหัวหน้าของการกระทำต่าง ๆ ).

การมีเจตนาใช้เวลาในการปฏิบัติไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการคิดเสียก่อน. ความคิดจึงมีอำนาจสูงสุดต่อการกระทำต่าง ๆ โดยตรง แม้กระทั่งการคิดฆ่าและมีเจตนาสั่งฆ่าผู้ที่มีความคิดเห็นต่างลัทธิกับตน เป็นจำนวนแสนหรือเป็นล้านคนก็ยังสามารถทำได้.

เมื่อมีเจตนารู้เห็นความคิดก็จะสามารถรู้เห็นความคิด

ในชีวิตประจำวัน ท่านอาจจะไม่ได้สังเกตว่า การกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจนั้น เกิดจากความคิด เพราะไม่ได้มีเจตนารู้เห็นความคิดมาก่อน. ถ้าเป็นการคิดเรื่องที่ทำอยู่เป็นประจำและง่าย ๆ ความคิดจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วคล้ายอัตโนมัติ เนื่องจากสมองทำงานด้วยความชำนาญ เช่น การทำกิจวัตรประจำวันได้แก่ การเดิน การเข้าห้องน้ำ การรับประทานอาหาร เป็นต้น.

ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดและไม่เคยทำมาก่อน หรือเป็นเรื่องยาก สมองจะต้องใช้เวลาในการคิด เช่น การแก้เครื่องใช้ต่าง การเดินทางไปในที่ที่ยังไม่เคยไป การทำงานเรื่องยาก ๆ เป็นต้น.

วิธีการที่จะรู้เห็นความคิดนั้นง่ายนิดเดียว เพียงแต่ตั้งเจตนาว่า จะรู้เห็นความคิด พร้อมกับตั้งใจรู้เห็นความคิดอย่างจริงจังในขณะคิด ก็จะรู้เห็นความคิดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพราะสมองทำหน้าที่ตามที่มีเจตนา. การระลึกว่า เมื่อกี้คิดอะไร ก็จะรู้เห็นความคิดที่สมองได้จดจำเอาไว้ ซึ่งเป็นวิธีการง่าย ๆ สำหรับการศึกษาเรื่องการรู้เห็นความคิดที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นได้ด้วย.

การรู้เห็นความคิดจึงจะทำให้สามารถบริหาร(กำกับและควบคุม)ความคิดได้

การที่จะควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปตามหลักธรรม ได้นั้น ก็ต่อเมื่อสามารถรู้เห็นความคิด เพราะความคิดเป็นที่เริ่มต้นของการกระทำต่าง ๆ. ดังนั้น เมื่อรู้เห็นและรู้ทันความคิดนั้น ๆ ว่า กำลังมีการคิดอกุศล ก็ให้หยุดความคิดนั้น ๆ เสียทันที เช่น มีเจตนาอย่างจริงจังว่า จะไม่คิดโดดร่มเพราะเป็นอกุศล ครั้นเมื่อมีการคิดว่า จะโดดร่มเมื่อนั้นเมื่อนี้ ก็จะรู้เห็นและรู้ทันความคิดนั้นได้ในขณะที่มีสติ พร้อมทั้งมีสติหยุดความคิดนั้น ๆ ทันที การโดดร่มก็จะไม่เกิดขึ้น. ในทำนองเดียวกัน การคิดอกุศลต่าง ๆ ต่อทางราชการ ต่อผู้บังคับบัญชา ต่อผู้ร่วมงาน ต่อผู้มาติดต่องาน ต่อผู้รับบริการ การประจบสอพลอ การผิดศีล ๕ การเบียดบังราชการ รวมทั้งการโกงกินตามน้ำและทวนน้ำ ก็จะไม่เกิดขึ้น.

ถ้าไม่สามารถรู้เห็นและรู้ทันความคิด ก็จะไม่สามารถควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรมได้.

ดังนั้น การจะพัฒนาจิต จึงเน้นที่การใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ ทำการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน และเมื่อใดที่ความคิดหรือการกระทำเป็นอกุศล ไม่ตรงกับหลักธรรม ก็ให้มีสติหยุดความคิดนั้น ๆ เสีย ภายในวินาทีนั้นเลย เพื่อความไม่ประมาท.

การควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรมเป็นประจำ จะทำให้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำมีมากขึ้นตามลำดับ จนกลายเป็นนิสัย. ขณะเดียวกัน เมื่อมีการคิดและการกระทำต่าง ๆ เป็นไปตามหลักธรรมอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลความจำด้านอกุศล(กิเลส)ที่จดจำไว้จะค่อยลดลงไป เพราะข้อมูลด้านอกุศลในความจำที่ไม่ได้ใช้งาน หรือไม่ได้ทบทวนอยู่เสมอย่อมจะลดลงไปเรื่อย ๆ เนื่องจากธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง. ยิ่งมีข้อมูลด้านอกุศลในความจำลดน้อยลง โอกาสที่จะคิดด้วยข้อมูลด้านอกุศลย่อมลดน้อยลงไปด้วย.

เมื่อไม่คิดอกุศล จิตใจย่อมบริสุทธิ์ผ่องใส

ตามธรรมชาติ ขณะที่สมองของท่านไม่ได้คิดด้วยข้อมูลด้านอกุศลอยู่นั้น จิตใจของท่านย่อมบริสุทธิ์ พร้อมทั้งมีความเบาสบาย(ปีติ) และมีความสุขสงบ(ปัสสัทธิ)จากการไม่มีความทุกข์.

การคิดแต่กุศลจะทำให้จิตใจของท่านผ่องใส(ปราโมทย์)

การไม่คิดและไม่ทำอกุศล แต่คิดและทำกุศลให้ถึงพร้อมโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ด้วยความโลภ ย่อมทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ซึ่งเป็นความจริงที่ท่านสามารถพิสูจน์ได้ทุกเมื่อ.

ในขณะที่ร่างกายไม่ได้เจ็บป่วย แต่จิตใจของกลับมีอาการขุ่นมัวหรือไม่บริสุทธิ์ผ่องใส มักจะมีสาเหตุที่สืบเนื่องมาจากขณะนั้นกำลังมีความคิดที่เจือปนด้วยข้อมูล ด้านอกุศลนั่นเอง.

ความอยากและความไม่อยากที่มีความพอเหมาะพอควรไม่ทำให้เกิดความทุกข์

ตามธรรมชาติของมนุษย์ จะต้องมีความรู้สึกอยากและไม่อยากติดตัวมาตั้งแต่เกิด. ความอยากและไม่อยากจะผลักดันให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่ได้ยาวนานและปลอดภัย เช่น การอยากรับประทานอาหาร การอยากพักผ่อน การอยากมีชีวิตอยู่ การอยากมีความปลอดภัย การอยากช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ การไม่อยากอดอยาก การไม่อยากเหนื่อย การไม่อยากเจ็บป่วย การไม่อยากตายก่อนกำหนดเวลา การไม่อยากได้รับอันตราย เป็นต้น.

ความอยากและความไม่อยากที่พอเหมาะและพอควรจึงเป็นเรื่องปกติ และเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามธรรมชาติของมนุษย์. ดังนั้น ความอยากและไม่อยากย่อมทำให้มีความทุกข์ทางจิตใจบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นวิสัยที่มนุษย์ควรมี และไม่จำเป็นต้องใช้หลักธรรมในการดับความทุกข์ประเภทนี้ เช่นเดียวกับความทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ทางร่างกายในชีวิตประจำวันของคนปกติ ที่เกิดขึ้นขณะหิวอาหาร ขณะปวดปัสสาวะ ขณะปวดอุจจาระนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องบำบัดรักษาแต่ประการใด ถ้าไม่ก่อปัญหารุนแรง.

ความอยากมากจนเกินความพอเหมาะพอควร ที่จะให้เป็นไปตามที่ตัวอยากและไม่อยากจึงเรียกว่า ความทะยานอยาก(ตัณหา). เมื่อเกิดความคิดที่เป็นตัณหา(คิดอกุศล) ความทุกข์ที่มากกว่าระดับปกติก็จะเกิดตามมาด้วย. การจะดับทุกข์ได้นั้น ต้องดับที่หัวหน้า คือดับหรือหยุดความคิดที่เป็นอกุศลเสีย ตัณหาก็จะดับไปทันที. ตัณหาก็คือความทะยานอยากที่จะให้เป็นไปตามความโลภ ความโกรธนั่นเอง.

การฝึกเจริญสมาธิเพื่อหยุดความคิด

วัตถุประสงค์ของการฝึกเจริญสมาธิ คือ การฝึกสติอย่างเข้มข้น เพื่อหยุดความคิดทุกรูปแบบ การฝึกหยุดความคิดทุกรูปแบบ โดยการมีสติอยู่กับกิจเล็ก ๆ เพียงกิจเดียว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกควบคุมความคิด.

ขณะที่มีสมาธิตั้งมั่นอยู่กับกิจที่กำหนดไว้ เช่น อยู่กับลมหายใจ จะทำให้หยุดการคิดหรือไม่ไปคิดเรื่องอื่น และไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน. ความคิดฟุ้งซ่านอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการคิดด้วยข้อมูลด้านอกุศลได้โดยง่าย เนื่องจากขณะเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น จะไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้.

ให้ท่านฝึกทดลองเจริญสมาธิตามรูปแบบที่เคยฝึกปฏิบัติมาก่อน เมื่อสมาธิมีความตั้งมั่นตามสมควร คือ ขณะที่มีสติอยู่กับกิจเล็ก ๆ ที่มีเจตนากระทำอยู่ ก็จะไม่คิดเรื่องอื่นใด รวมทั้งไม่ได้คิดฟุ้งซ่านด้วย. ภาวะที่จิตใจมีความตั้งมั่นดังกล่าวแล้ว เป็นภาวะที่ท่านไม่มีการคิดโลภ คิดโกรธ และไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นในจิตใจ เป็นภาวะของจิตใจที่มีความบริสุทธิ์ผ่องใส ห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์ หรือมีภาวะนิพพานชั่วคราว.

ต่อไปให้ท่านทดลองลืมตาเจริญสมาธิ จะสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า ให้ผลเช่นเดียวกันกับการหลับตาทำสมาธิ เพียงแต่ว่า อาจรู้สึกสงบน้อยกว่าการหลับตาเจริญสมาธิ และมีโอกาสที่จะเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านได้ง่ายขึ้น.

การเจริญสมาธิอย่างถูกต้องตามหลักการในพระพุทธศาสนา คือการฝึกมีสติในการกำกับและควบคุมความคิดอย่างจริงจังถึงขั้นหยุดความคิด เพื่อให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนเป็นอย่างดีเยี่ยมและอย่างมีสติในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ. ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกสมาธิจนมีความชำนาญคือ จะสามารถหยุดความคิดต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกับหลักธรรมหรือหยุดความคิดที่เจือปนด้วยกิเลสได้ในทันทีที่ต้องการ.

หลักการและวิธีฝึกเจริญสมาธิอย่างง่าย ๆ

ท่านควรเลือกที่นั่งให้เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับการฝึกเจริญสมาธิ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันอันตรายจากการเผลอสติหรือหลับในแล้วพลัดตกลงมา. ท่านควรฝึกนั่งตัวตรง ดำรงจิตมั่น ไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน แต่ไม่ควรเร่งสติหรือตั้งใจมากเกินไป จนเกิดความเครียดหรือมีอาการเกร็งไปหมด.

ท่านควรฝึกตั้งใจมั่น(มีสติ)ในระดับพอเหมาะพอดี(ทางสายกลาง) โดยสังเกตว่า ขณะฝึกปฏิบัติจะต้องมีความรู้สึกเบาสบาย กล้ามเนื้อทั้งตัวมีความผ่อนคลาย มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะปล่อยวางทุกเรื่องให้หมด คงเหลือแต่เพียงการรับรู้ความรู้สึกเบา ๆ ของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียวเท่านั้น.

เพื่อที่ท่านจะได้ฝึกเจริญสมาธิในชีวิตประจำวันได้ทุกเมื่อ จึงควรฝึกเจริญสมาธิในท่าที่ท่านเคยนั่งตามปกติ โดยไม่ต้องรอโอกาสที่จะนั่งขัดสมาธิกับพื้นตามรูปแบบที่นิยมกันในอดีตเสีย ก่อน แล้วจึงค่อยฝึกเจริญสมาธิ. ในกรณีย์ที่มีความพร้อมที่จะนั่งขัดสมาธิบนพื้นตามรูปแบบเดิม ก็สามารถทำได้ตามอัธยาศัย.

การฝึกเจริญสมาธิในท่านอนก็ทำได้เช่นกัน แต่ต้องระวัง เพราะอาจจะเผลอสติหรือนอนหลับไปได้โดยง่าย. ท่านควรฝึกในท่านอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ ตามความเหมาะสมกับเหตุปัจจัย. การฝึกเจริญสมาธิในท่านอนตะแคง จัดว่าเป็นท่าที่เป็นทางสายกลางของอิริยาบถนอน คือ จะไม่หลับง่ายเหมือนท่านอนหงาย และไม่ลำบากร่างกายเหมือนในท่านอนคว่ำ. การเจริญสมาธิในอิริยาบถนอนจะช่วยให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนดีที่สุด จึงเหมาะสำหรับใช้ในการปรับเปลี่ยนอิริยาบถเป็นครั้งคราว.

การฝึกปฏิบัติธรรมในท่ายืน ในท่าเดิน และในขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ใช่การฝึกเจริญสมาธิ ในที่นี้จัดว่าเป็นการฝึกเจริญสติ เพราะต้องแบ่งสติไปใช้หลายด้าน เพื่อให้มีความปลอดภัย เช่น ใช้ในการรับรู้ข้อมูลการทรงตัว การเดิน การคิด เป็นต้น.

การเจริญสมาธิทำให้เกิดการหยุดความคิด จึงเป็นผลให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนอย่างมีสติในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ รวมทั้งไม่มีความทุกข์ ซึ่งเป็นภาวะของจิตใจที่มีความบริสุทธิ์ผ่องใส.

หลักการสำคัญของการเจริญสมาธิ คือ ให้ฝึกมีสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูก ซึ่งเป็นกิจเล็ก ๆ และง่าย ๆ เพียงกิจเดียว โดยไม่มีการใช้สมองไปในการนึกคิดเรื่องอื่นใด ถ้าเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านหรือมีความคิดหรือมโนภาพแทรกขึ้นมาก็ให้หยุดเสีย โดยการลืมตาชั่วคราวแล้วเจริญสมาธิต่อไป หรือเร่งสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเป็นช่วงสั้น ๆ ก็ได้ ความคิดหรือมโนภาพก็จะถูกตัดตอน.

วิธีฝึกเจริญสมาธิตามรูปแบบอานาปานสติสมาธิ เป็นการฝึกมีสติในการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียว กล่าวคือ พอลมหายใจผ่านเข้าตรงรูจมูก ก็มีสติรับรู้ความรู้สึกว่า ลมหายใจกำลังผ่านเข้า พอลมหายใจผ่านออกตรงรูจมูก ก็มีสติรับรู้ความรู้สึกว่า ลมหายใจกำลังผ่านออกตรงรูจมูก.

บางท่านที่ไม่เคยฝึกอานาปานสติสมาธิมาก่อน อาจจะรู้สึกว่า การรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเป็นของยาก แต่ขอยืนยันว่า เมื่อตั้งใจฝึกฝนตนเองได้ไม่นานนัก ก็จะกลับกลายเป็นเรื่องง่ายมาก ๆ เหมือนกับการรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสต่าง ๆ นั่นเอง เพียงแต่เป็นความรู้สึกสัมผัสที่เบา ๆ ว่า มีลมหายใจผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเท่านั้นเอง.

เมื่อท่านฝึกได้สักระยะเวลาหนึ่ง ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่า การรับรู้ความรู้สึกสัมผัสที่เบา ๆ กลับกลายเป็นของดี เพราะมีความละเอียดอ่อน มีความสงบทั้งใจและกาย มีความประณีต มีความเบาสบาย(ปีติ) มีความสุขสงบ(ปัสสัทธิ) ไม่เครียด ไม่ต้องใช้ตาเพ่ง ไม่ต้องใช้ใจเพ่ง ไม่เหนื่อยกาย ไม่เหนื่อยใจ ไม่ต้องใช้สมองมาก ร่างกายและสมองได้พักผ่อนอย่างมีสติในขณะที่ไม่ได้นอนหลับได้ดีที่สุด.

เมื่อท่านสามารถหยุดความคิดได้ดี สมองก็จะทำหน้าที่เพียงแค่การรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูก เพียงกิจเดียวเท่านั้นเอง จึงเป็นผลให้ร่างกาย สมองหรือจิตใจได้รับการพักผ่อนด้วยความมีสติ.

ท่านไม่ควรเร่งสติ(เร่งความตั้งใจ)มากเกินไปจนกลายเป็นความเครียด เพราะจะทำให้สมองและร่างกายไม่ได้พัก และไม่ควรทำแบบสบายจนเกินไป จนกลายเป็นความย่อหย่อน หรือง่วงนอน แต่ให้ตั้งอยู่ในความพอเหมาะพอดี.

ท่านไม่ควรฝึกเจริญสมาธินานเกินไปจนกลายเป็นการเบียดเบียนร่างกายของตนเอง และไม่ควรฝึกน้อยจนเกินไปกลายเป็นความเกียจคร้าน คงให้ถือปฏิบัติตามทางสายกลาง คือ ความพอเหมาะและพอดีกับสภาพร่างกาย จิตใจ เพศ อายุ ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ภาระกิจอื่น ๆ และเหตุปัจจัยต่าง ๆ ในขณะนั้น.

ท่านที่เริ่มฝึกใหม่ ๆ อาจรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกนั้น จะสัมผัสเบา ๆ ที่รูจมูก. ถ้าประสงค์จะรับรู้ความรู้สึกได้ชัดเจนขึ้น ก็ควรหายใจให้แรงขึ้นอีกเล็กน้อย แล้วจะรับรู้ความรู้สึกได้ชัดเจนขึ้น จากนั้นจึงค่อย ๆ ผ่อนการหายใจให้กลับมาเป็นปกติ.

ขณะฝึกเจริญสมาธิ ท่านควรพยายามฝึกให้มีสติตั้งมั่นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เพื่อที่จะสามารถหยุดความคิดของท่านได้อย่างต่อเนื่อง. ขณะที่ท่านสามารถหยุดความคิดไม่ให้ไปคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่นั้น จิตใจของท่านจะว่างจากกิเลสและกองทุกข์ เข้าถึงภาวะนิพพานเป็นการชั่วคราว.

ปัญหาที่ผู้เริ่มต้นฝึกเจริญสมาธิพบและเป็นเหตุให้มักเลิกลาไป คือ ไม่สามารถดับความคิดฟุ้งซ่านได้ดีสมกับความต้องการ. แต่อันที่จริงแล้ว ยิ่งมีความคิดฟุ้งซ่านมากเท่าไร ยิ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ให้รู้เห็นชัดเจนว่า จะต้องฝึกเจริญสมาธิต่อไป เพราะยังไม่สามารถควบคุมความคิดได้.

การเจริญสติเพื่อรู้เห็น กำกับความคิด และควบคุมความคิด

การฝึกใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของตนเอง ทำการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรมอยู่ตลอดเวลา(ใช้ ประโยคย่อ ๆ ว่า รู้เห็นและควบคุมความคิด หรือใช้คำว่า เจริญสติ) จะทำให้มีการพัฒนาความสามารถในการบริหารจิตด้วยการรู้เห็นและควบคุมความคิด รวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปตามหลักธรรมได้มากขึ้น ขณะเดียวกันความทุกข์ก็จะลดลง ความสุขสงบและความบริสุทธิ์ผ่องใสทางจิตใจก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วย.

ความสามารถดังกล่าว ขึ้นอยู่กับความสามารถด้านสติปัญญาทางธรรมที่มีอยู่ในความจำของตนเอง. ถ้าท่านมีข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำไม่เพียงพอ ก็จะไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้ดีเท่าที่ควร จึงทำให้ท่านมีความทุกข์หรือความคิดขาดหลักธรรมเป็นครั้งคราว ตามแต่เหตุปัจจัยในขณะนั้น.

การจะป้องกันและหยุดความคิดที่เป็นอกุศลได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ท่านจะต้องมีเจตนา มีความตั้งใจ(มีสติ) และมีความเพียรในการฝึกฝนตนเอง ให้มีและให้ใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม(รวมทั้งหลักธรรม)ในความจำอย่าง ว่องไว ในการรู้เห็นการเริ่มต้นของความคิดที่มีข้อมูลด้านกิเลสเจือปน และหยุดความคิดดังกล่าวอย่างรวดเร็วที่สุด.

เมื่อท่านฝึกสติเช่นนี้เป็นประจำ ไม่นานนักก็จะสามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่วคล้ายอัตโนมัติ เช่นเดียวกับความสามารถต่าง ๆ ทางโลกที่ใช้ในชีวิตประจำวัน.

หลักการของการฝึกเจริญสติ

การเจริญสติ(เจริญสติปัญญาทางธรรม)เป็นเนื้อหาสำคัญของสัมมาสติในมรรคมีองค์ ๘ และเป็นวิธีการสำคัญมาก ๆ ที่ใช้ในการดับกิเลสและกองทุกข์ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ไม่ได้เจริญสมาธิ. คนไทยส่วนมากไม่ได้ศึกษาธรรมและไม่ได้ปฏิบัติธรรมในเรื่องสัมมาสติอย่างจริงจัง จึงทำให้ความรู้ความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์มีน้อยกว่าที่ควรจะทำได้.

หลักการของการฝึกเจริญสติในที่นี้ คือ การฝึกใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม(รวมทั้งหลักธรรม)ที่มีอยู่ในความจำ ทำการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามข้อมูลดังกล่าว อย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องรอวัน เวลา และสถานที่.

เหตุที่ต้องฝึกเจริญสติ เพราะในชีวิตประจำวัน ท่านจะไม่สามารถเจริญสมาธิได้ตลอดเวลา จึงจำเป็นจะต้องเจริญสติในขณะทำกิจต่าง ๆ ไปด้วย เพื่อการศึกษาและการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งการมีความปลอดภัยของชีวิต ทรัพย์สิน และการไม่มีความทุกข์ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจที่รุนแรง.

องค์ประกอบของการเจริญสติปัญญาทางธรรม

การฝึกเจริญสติปัญญาทางธรรม(เจริญสติ)เป็นกิจส่วนใหญ่ของการปฏิบัติธรรม เป็นการเจริญวิปัสสนา(เจริญสติ)เพื่อการดับกิเลสและกองทุกข์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีขั้นตอนง่าย ๆ ที่ท่านสามารถทดลองฝึกและพิสูจน์ผลของการฝึกได้ด้วยตัวเอง. องค์ประกอบโดยย่อ ที่จะต้องตามฝึกมี ๓ องค์ประกอบ ดังนี้ :-

๑. ในชีวิตประจำวัน ให้ฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอยู่เสมอ คือ มีส่วนหนึ่งของสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรง รูจมูกอยู่เสมอเพื่อป้องกันความคิดฟุ้งซ่านและมีสติตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา(ไม่ จำเป็นต้องทุกวินาที) และฝึกแบ่งสติจากฐานหลักของสติ หรือแบ่งความตั้งใจไปใช้ในการรู้เห็นความคิด ถ้ารู้เห็นว่ามีความคิดที่เป็นอกุศล หรือขัดแย้งกับหลักธรรม ก็ให้รีบหยุดความคิดนั้น ๆ ทันที อย่ารอแม้แต่วินาทีเดียว.

๒. ฝึกพิจารณาธรรม ด้วยการศึกษาธรรมเพิ่ม ทบทวนธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ รวมทั้งหลักธรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ โดยใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรม ที่มีอยู่ในความจำมาประกอบการพิจารณา.

๓. ฝึกใช้สติปัญญาทางโลก และสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน

วิธีเร่งรัดการพัฒนาจิตให้เป็นไปตามหลักธรรม

ขอแนะนำให้ท่านฝึกตั้งเจตนาอยู่เสมอ หรือสอนตัวเอง หรือเตือนตัวเองตามหลักธรรมอยู่เสมอว่า "เราจะมีสติไม่คิดและไม่ทำอกุศลทั้งปวง เราจะคิดและทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ด้วยความโลภ และรักษาจิตใจของเราให้บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ เพื่อให้เราห่างไกลจากอกุศลและความทุกข์อยู่ตลอดเวลา" รวมทั้งมีความตั้งใจ และมีความเพียร ที่จะฝึกรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมดังกล่าววันละหลาย ๆ ครั้ง จะทำให้ท่านสามารถเริ่มดำเนินชีวิตตามหลักธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

ถ้าเป็นไปได้ ท่านควรฝึกประเมินผลของการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมวันละ ๒ - ๓ ครั้ง เพื่อช่วยเร่งรัดให้ท่านปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมได้อย่างจริงจัง.

ทุกครั้งที่รู้ว่าคิดหรือทำอกุศล ให้ตั้งใจมีเจตนาหรือตักเตือนตนเองว่า "เราจะไม่คิดและไม่ทำเช่นนี้อีกต่อไป". ทั้งนี้ เพื่อสร้างเจตนาซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้ข้อมูลเจตนาเช่นว่านี้ มีอยู่ในความจำมากขึ้น. นาน ๆ เข้า ท่านจะมีข้อมูลเช่นนี้ในความจำของสมองมากขึ้น จนเพียงพอที่จะหยุดการคิดและการทำอกุศลได้อย่างมีประสิทธิภาพ. ในอดีตเรานิยมใช้คำว่าอธิษฐานจิต ซึ่งนั่นก็คือความเจตนานั่นเอง.

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงหลักธรรมนี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะทรงโปรดให้สวดปาฏิโมกข์(สวดศีล ๒๒๗ ข้อ)อย่างปัจจุบันนี้แทน. ดังนั้น จึงเข้าใจว่า การมีสติปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมอย่างจริงจัง ครบถ้วน และถูกต้องตามสมควร จะสามารถพัฒนาความรู้สึกนึกคิดและความจำ(จิตใจ) รวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้สูงขึ้นจนภาวะจิตใจมีความประเสริฐในระดับต่าง ๆ (อริยบุคคล).

วิธีฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวัน

ทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ขณะเดินทาง ขณะฟังบรรยาย และขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ ขณะดูรายการทางโทรทัศน์ ท่านควรฝึกมีสติตั้งอยู่ที่ฐานหลักของสติไว้เสมอ(ถ้าทำได้) พร้อมกับฝึกมีสติในการใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมทำการรู้เห็นและควบคุม ความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมอยู่เสมอ.

การมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติเพียงอย่างเดียว หรือมีสติอยู่ที่อิริยาบถและการเคลื่อนไหว โดยไม่ตั้งใจใช้ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในการรู้เห็นและควบคุมความคิดรวม ทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรม ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ไม่ครบสมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถป้องกันกิเลสและดับกิเลสและกองทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

การศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมครบตามองค์ประกอบทั้ง ๓ ประการ จะทำให้ความสามารถด้านสติปัญญาทางธรรมก้าวหน้าได้เร็วขึ้น.

หน้าที่ของผู้เริ่มฝึกปฏิบัติธรรม คือ จะต้องจดจำข้อมูลหลักธรรมให้ขึ้นใจ และหมั่นทบทวนเจตนาที่จะฝึกฝนตนเองวันละหลาย ๆ ครั้ง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการรู้เห็นและควบคุมความคิดอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้เกิดความเคยชิน จนถึงขั้นเป็นนิสัยหรือเป็นวิถีทางในการดำเนินชีวิตตามปกติ.

การวางแผนการศึกษาและการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งการวางแผนการชีวิตเพื่อความก้าวหน้า ย่อมสำเร็จไปได้ด้วยดี ถ้ามีสติคอยรู้เห็นและควบคุมความคิดรวมทั้งการกระทำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมที่ได้กำหนดไว้.

การเจริญสมาธิสลับกับการเจริญสติในชีวิตประจำวันเป็นสุดยอดของการพัฒนาจิต

ในชีวิตประจำวัน เมื่อท่านฝึกเจริญสติในขณะทำกิจต่าง ๆ ได้ประมาณ ๑ ชั่วโมง(หรือตามความเหมาะสม) สลับด้วยการฝึกเจริญสมาธิประมาณ ๓๐ - ๖๐ วินาทีหรือมากกว่า โดยไม่ต้องหลับตาก็ได้ เพื่อให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนเป็นระยะเวลาสั้น ๆ จะได้ป้องกันร่างกายการล้าของสมอง ซึ่งเท่ากับเป็นการพักและเป็นการเตรียมตัวที่จะปฏิบัติและดำเนินชีวิตอย่างมีสติเต็มที่ในชั่วโมงถัดต่อไป.

ทุก ๆ วัน ถ้าเป็นไปได้ ท่านควรหาโอกาสฝึกเจริญสมาธิอย่างจริงจัง เพื่อการฝึกสติอย่างเข้มข้น ด้วยการฝึกเจริญสมาธิระยะยาววันละ ๑ - ๒ ครั้ง โดยใช้เวลาครั้งละ ๑๐ - ๓๐ นาทีหรือตามความเหมาะสม จะเป็นที่บ้านหรือในที่ปลอดภัยก็ได้ เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติในความจำ ให้มีความสามารถทางสติมากขึ้นอย่างรวดเร็ว.

การเจริญสมาธิสลับกับการเจริญสติในชีวิตประจำวัน จึงเป็นวิธีปฏิบัติธรรมที่สมบูรณ์ที่สุด และเป็นสุดยอดของการปฏิบัติธรรมเพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรม เพราะสามารถทำได้ทั้งวัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือกำลังทำอะไรอยู่. เมื่อฝึกฝนเป็นประจำ พอนานเข้า สมองจะมีความสามารถในการทำหน้าที่ตามที่ได้ฝึกฝนเอาไว้จนคล้ายอัตโนมัติ.

ในช่วงแรกของการฝึกปฏิบัติธรรม ท่านควรเร่งรัดตนเองเป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าไม่เร่งรัด อาจพ่ายแพ้ความคิดที่เป็นอกุศล ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เลิกลาการปฏิบัติธรรมไปได้โดยง่าย.

เมื่อฝึกอย่างจริงจังสักระยะเวลาหนึ่ง ข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำจะมากขึ้น ทำให้จิตใจเบาสบาย สงบสุข และไม่ค่อยมีความทุกข์ เป็นผลให้มีความศรัทธาในการศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังต่อไป ขณะเดียวกัน ความรู้และความสามารถในการรู้เห็นและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามหลักธรรมก็จะมากขึ้นตามลำดับด้วย.

ความก้าวหน้าและการประเมินผล

ท่านควรฝึกสังเกตความก้าวหน้าของตนเองเองในเรื่องการใช้สติปัญญาทางโลกและ สติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปในชีวิตประจำวันว่า ทำได้มากน้อยเพียงใด โดยสังเกตว่า มีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอยู่เสมอ แล้วแบ่งสติมาทำกิจต่าง ๆ รวมทั้งรู้เห็นและควบคุมความคิดในระหว่างทำกิจต่าง ๆ ให้เป็นไปตามข้อมูลด้านสติปัญญาทางโลกและด้านสติปัญญาทางธรรมอยู่เสมอหรือ ไม่ มากน้อยเพียงใด.

ท่านควรประเมินผลความสำเร็จซึ่งเกิดจากการพิจารณาแก้ปัญหาต่าง ๆ ว่า สามารถทำให้ความทุกข์จากปัญหาต่าง ๆ ลดลง และทำให้สามารถดำเนินชีวิตตามหลักธรรม(โอวาทปาฏิโมกข์)ได้มากน้อยเพียงใด.

ถ้าการพัฒนาจิตของท่านไม่สามารถลดความทุกข์ลงได้กว่าที่ควร หรือไม่สามารถพัฒนาตนเองให้เป็นไปตามหลักธรรมได้ดีเท่าที่ควร ก็มักจะพบว่า มีสาเหตุมาจากการมีความเพียรน้อยไป ก็ควรพยายามที่จะเร่งความเพียรให้มากขึ้น แต่ถ้ายังไม่แน่ใจว่า มีสาเหตุมาจากอะไร ก็ควรปรึกษาผู้รู้หลายท่านว่า การศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมของท่านที่ผ่านมาถูกทางหรือไม่ เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้หมดไป.

ควรแสวงหาความรู้ในการพัฒนาจิตตลอดไป

เมื่อยังไม่ตาย ทุกคนควรศึกษาหาความรู้ไปทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป เพื่อการศึกษา ปฏิบัติงาน และดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ.

สำหรับการศึกษาหาความรู้ทางธรรม ท่านควรศึกษาเรื่องอริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างจริงจังต่อไปเรื่อย จนกว่าจะจบชีวิต.

อริยสัจ ๔ มีเนื้อหาน้อย พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบกับใบไม้เพียงกำมือเดียวเท่านั้นเอง แต่เมื่อนำไปปฏิบัติจะทำให้เกิดการพัฒนาจิตใจเพื่อการศึกษาและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ.

การแสวงหาความรู้จำเป็นต้องศึกษาจากผู้รู้หลาย ๆ ท่าน อย่างเลือกศึกษาจากท่านเดียว เพราะการศึกษาจากท่านเดียวที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้านั้น อาจจะไม่ครอบคลุมทุกประเด็น นอกจากนั้น ท่านควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ที่คัดมาจากพระไตรปิฏกด้วย เพื่อตรวจสอบและค้นหาความจริงได้ด้วยตนเอง.

สรุป

แก่นธรรมของพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ ๔ ประกอบด้วยเรื่อง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.

ความทุกข์(ทุกข์) คือ ความไม่สบายใจทุกรูปแบบ ซึ่งทุกคนต่างก็มีประสบการณ์ตรงมาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น.

สาเหตุของความทุกข์(สมุทัย) คือ ความคิดที่เป็นอกุศล(คิดด้วยความโลภและความโกรธ) เพราะไม่มีความรู้ในอริยสัจ ๔ และไม่สามารถในการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง(มีความหลงหรือโมหะหรืออวิชชา) หรือมีกิเลส ๓ ตัว.

ความดับทุกข์(นิโรธหรือนิพพาน) คือ ภาวะที่ไม่คิดอกุศล จึงไม่มีความทุกข์. ถ้าดับความทุกข์ได้ชั่วคราว เรียกว่านิพพานชั่วคราว.

ทาง ปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์(มรรคมีองค์ ๘) คือ วิธีปฏิบัติธรรมเพื่อดับความทุกข์. การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน โดยการเจริญสติสลับกับการสมาธิ ก็เพื่อไม่ให้คิดอกุศล และให้คิดแต่กุศล เพื่อทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่องตามโอวาทปาฏิโมกข์.

ใน ชีวิตประจำวัน ท่านควรฝึกพัฒนาจิตด้วยการฝึกเจริญสมาธิสลับกับการฝึกเจริญสติ. การฝึกเจริญสมาธิก็เพื่อหยุดความคิด พักสมอง และพักร่างกาย. การฝึกเจริญสติก็เพื่อการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดให้เป็นไปตามโอวาท ปาฏิโมกข์ พร้อมทั้งให้เวลาในการศึกษา ทบทวน แก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยธรรม รวมทั้งใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาจิตของตนเองให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐ.

ข้อมูลของผู้เขียนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา

หนังสือของผู้เขียนที่วางขายทั่วไปในราคาถูก หรือ download ได้ฟรีทาง website ซึ่งมี ๒ เรื่อง คือ ๑. แนะนำวิธีเจริญสติปัญญาทางธรรมเพื่อดับกิเลสและกองทุกข์(อริยสัจ ๔ อย่างย่อ). ๒. แก่นธรรม(อริยสัจ ๔ อย่างเต็มรูปแบบ). ถ้าซื้อจากผู้เขียนโดยตรง จะซื้อได้ในราคาทุน.

เทปธรรมชุด แก่นธรรม(อริยสัจ ๔) โดยผู้เขียน มีจำหน่ายแห่งเดียว คือ ที่แผนกจำหน่ายหนังสือของมูลนิธิมหามกุฏฯ เยื้องพระอุโบสถวัดบวรฯ บางลำพู กทม.

ติดต่อผู้เขียนทางอีเมล์: satipanya@yahoo.com ดูรายการบรรยายธรรมของผู้เขียน และดูบทความต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการบรรยายหรือฝึกอบรมได้ที่ www.geocities.com/satipanya หรือสอบถามรายการบรรยายธรรมทางจดหมายได้ที่ ๑๑๑ ซอยวัดอัมพวัน ถนนพระราม ๕ กทม. ๑๐๓๐๐.

 

No comments: