Sunday, December 14, 2008

กฎธรรมชาติของธรรมเป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่เหมือนกับกฎหมายบ้านเมืองที่มีการแก้ไข เปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ได้ตลอดเวลา

ประสิทธิภาพจากการปฏิบัติธรรม

 

          เมื่อเราเริ่มเดินวิชา จะไม่มีจิตวิญญาณธาตุที่ครองภพภูมิใดอยู่เหนือเราได้  ทุกสิ่งที่เห็นเป็นวัตถุธาตุจะอยู่ในหรือนอกสมาธิไม่กล้าเข้าใกล้และจะอยู่ห่างจากเราไปด้วยตัวมันเอง ซึ่งเป็นหนทางกำจัดกิเลสตัณหาและอุปาทานได้ เป็นการเสริมบุญเพื่อหลุดพ้นและเป็นวิธีเดียวดังที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้น  การปฏิบัติจะต้องปล่อยวางจากสิ่งปรุงแต่งทั้งปวงของโลกอธรรมมุ่งสู่ธาตุธรรมที่สุดละเอียดในจิต  ถ้าจะให้สะดวกในการศึกษาธรรม จะมีภาพ (กฎธรรมชาติของธรรม) เขียนขึ้นมาดังที่เห็นในภาพประกอบการบรรยายธรรม จะทำให้เข้าใจง่ายขึ้นและไม่สับสนอีก เพราะทุกองค์ศาสดาได้สอนวิธีการปฏิบัติให้รู้แจ้งด้วยตนเองอยู่แล้ว เพื่อชิงความยิ่งใหญ่กันในธาตุธรรมที่ละเอียดกว่ากัน  ไม่ มีการจำกัดขอบเขต จะเกิดผลมากกว่าการไปเทศน์เรื่องประวัติและพฤติกรรมของท่านให้เป็นการเสีย เวลาไร้สาระไม่เกิดประโยชน์อันใดและก็ผิดวัตถุประสงค์ของท่านด้วย  มนุษย์ที่ปฏิบัติได้จะประกอบกิจการใดก็จะอยู่ในกรอบของกฎแห่งกรรม ดีกว่าผู้ที่ถือศีลเคร่งครัดทั้งหลายที่เอาแต่ศึกษาธรรมะทางทฤษฎี ไม่แน่ใจในความถูกต้องในเรื่องกฎธรรมชาติของธรรม เที่ยวไปส่งเสริมสิ่งที่เป็นอัปมงคลมาให้เข้าใจผิดขึ้นในโลกมนุษย์อีก  จะเป็นการทำลายตนเองโดยไม่รู้ตัว  อย่าไปเข้าใจว่าการปฏิบัติเป็นการงอมืองอเท้าไม่สร้างสรรค์อย่างที่เข้าใจกัน  ที่แท้มันเป็นการเดินวิชาพลังภายในเป็นเนื้อหาที่สำคัญยิ่งของธรรม ต่างไปจากการปฏิบัติในโลกและจะช่วยป้องกันสิ่งภายนอกมาครอบงำได้ และจะมีความรู้เกิดบุญอำนาจบารมีเพิ่มมาแก้กรรมของตนเองในโลกธาตุและวิญญาณาตุเป็นวิชาเสริมสร้างให้มนุษย์มีชีวิตเจริญทางธรรม จะไม่มีสถานที่แห่งใดฝึกจิตสมบูรณ์แบบที่แท้จริงหาเรียนได้ในโลกมนุษย์  ถ้าขาดคุณธรรมอย่างเดียว ชีวิตจะหาความสุขได้ยาก ทุกข์โศกโรคภัยก็จะตามหา 

 

          การ น้อมกายมนุษย์และวิชาความรู้ของอริยมรรคจากภายนอกเข้ามาอยู่ที่ศูนย์พลังใน กาย เป็นการสะสางธาตุธรรมให้เข้มแข็ง ทำให้การเดินวิชาเกิดประสิทธิผลได้ จะต้องรวมทั้งสองระบบวิญญาณธาตุของจักรวาลกับของธาตุจิตในกายให้กลมกลืนเป็น เนื้อเดียวกัน จะส่งผลเป็นเอกสิทธิ์ให้จิตวิญญาณธาตุที่ครองชั้นภพต่างๆขยับสูงขึ้นและมี พลังให้ผู้ปฏิบัติได้รับอานิสงส์เต็มที่และแคล้วคลาดจากภัยทั้งปวงได้ทุก ประการ มิฉะนั้นแล้วจะกลายเป็นจิตเร่ร่อนหาที่พักพิงไม่ได้

 

          ธรรมะอยู่ลึกในจิตไม่ใช่วัตถุ  อย่า ไปสนใจใครจะเอาไปเป็นวัตถุบูชาหรือทำอะไรก็ช่างเขา เราอย่านำมาบูชาก็แล้วกัน จิตจะไม่มั่นคง จะเป็นผู้ประพฤติตนอยู่ในแวดวงของฝ่ายมิจฉาทิฐิ ได้แก่การถือศีล การประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยการยึดเอาทฤษฎีเป็นใหญ่ จะมีความเชื่อของตนที่แปลกๆเกิดขึ้นได้โดยไม่ตรงกับการสอนหลักธรรมของทุก องค์ศาสดา แต่ตรงกันข้ามกับผู้ที่ได้ฌานสมาบัติเป็นผู้ได้สะสางธาตุธรรมสะอาดบริสุทธิ์ เป็นอย่างดีแล้วจนกลับเป็นฝ่ายสัมมาทิฐิเข้าสู่วิปัสสนากรรมฐานที่แท้ได้ สำเร็จ  เมื่อหลุดพ้นจะรู้ว่าสิ่งที่อยู่ภายนอกฌานของมนุษย์ละเอียดเป็นของอวิชชา ส่วนที่อยู่ภายในเป็นของธรรม จะสังเกตุจากการหมุนกลับกันของเครื่องเดินวิชา จะไปตามธรรมชาติบังคับโดยวิญญาณธาตุทั้งหยาบและละเอียดที่ผู้ปฏิบัติจะได้รับประโยชน์ตอบแทนโดยตรงจากทางนี้ทางเดียว

 

          กฎธรรมชาติของธรรมเป็นสิ่งที่เที่ยงไม่เหมือนกับกฎหมายบ้านเมืองที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ได้ตลอดเวลา  ผู้ ใดมีจิตไม่เข้มแข็งบริสุทธิ์ ยังหลงผิดอยู่ในสิ่งที่เป็นอธรรม ชีวิตจะมัวหมองมีปัญหาในทางโลก เพราะไปแยกเอาจุดเด่นสำคัญของแต่ละศาสนาบางส่วนไม่ครบถ้วนออกจากกันให้เห็น แตกต่างมาเป็นวิชาสอนธรรมะของตน ผู้กระทำไม่เข้าใจอิทธิพลกฎธรรมชาติของวิญญาณธาตุทั้งหยาบและละเอียดที่มี ให้เรียนรุ้ได้ไม่จบสิ้นในวิปัสสนากรรมฐานมีต่อมนุษย์ทุกคนในภพเวียนว่ายตาย เกิดอีกมากมาย และข้าพเจ้าก็ไม่สามารถนำมาชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรในที่นี้ให้เข้าใจได้ ทั้งหมด  ถ้ารวมทุกศาสนาเข้าด้วยกันได้จริงและไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว สัจธรรมก็จะเป็นที่พึ่งแท้จริงของมนุษยโลก                       

No comments: