พุทธศาสนาและปัญญาตะวันตก
ผู้แต่ง พระราชสุทธิญาณมงคล
สำนักพิมพ์ หจก.วิริยะพัฒนาโรงพิมพ์ กรุงเทพฯ
สาระสำคัญ
พุทธศาสนาและกฎแห่งกรรม หลวงพ่ออธิบายว่ากฎแห่งกรรมเป็นกฎธรรมชาติไม่มีผู้ใดสร้างขึ้นมาเกิดขึ้นจากการรวมกันของปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็น "เหตุ" และ "ผล" ซึ่งกันและกัน มีลักษณะเช่นเดียวกับกฎธรรมชาติอื่น ๆ เช่น กฎของความเปลี่ยนแปลงและกฎเกี่ยวกับแรงแห่งความโน้มถ่วง พุทธศาสนาเห็นความสำคัญของกฎแห่งกรรมเพราะต้องการให้คนทุกคนมีความสุขทั้งในชาตินี้และชาติต่อไป เพราะเชื่อว่าความสุขหรือความทุกข์เป็นผลมาจากการกระทำของคนเราแต่ละคนเองทั้งนั้น ไม่ได้เป็นรางวัลหรือการลงโทษของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด คำสอนเรื่องกฎแห่งกรรมในพระพุทธศาสนาไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้ชาวพุทธเป็นคนขาดความกระตือรือร้น หรือความพยายามแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเองในเรื่องของจริยธรรมนั้น กฎ แห่งกรรมเป็นหลักจริยธรรมที่เน้นความรับผิดชอบที่คนแต่ละคนมีต่อชีวิตของตน โดยอธิบายว่าการกระทำทุกอย่างมีผลกระทบต่อผู้ทำทั้งในระยะสั้น และ ระยะยาวนานมากบ้างน้อยบ้างตามประเภทของการกระทำดังนั้นผู้ที่ต้องการมีบุญ กุศลจึงควรระมัดระวังทำแต่สิ่งที่ดีงามทุกครั้งการมองดูชีวิตในแง่ของกฎแห่ง กรรมที่ว่าชีวิตปัจจุบันเป็นผลจากการกระทำ(กรรม)ของเราในอดีต ปัจจุบันและอนาคต อดีตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงแล้วดังนั้นเราจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอดีตได้ ในทางตรงข้ามอนาคตเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงเปิดกว้างไม่มีขอบเขตอนาคตจะมีลักษณะเช่นใดหรือมีขอบเขต จำกัดเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำของเราในปัจจุบันเป็นสำคัญในเรื่อง ความ สัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างอดีตและปัจจุบันนั้นหลวงพ่ออธิบายว่าเมื่อพิจารณา ตามหลักเหตุผลของกฎแห่งกรรมแล้วอดีตย่อมมีอำนาจเหนือปัจจุบันชีวิตปัจจุบัน เป็นผลของการกระทำของเราในอดีต แต่เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์แล้วจะมองเห็นว่าอดีตไม่ได้เชื่อมโยงปัจจุบันเข้าด้วยกันทั้งหมด และชีวิตปัจจุบัน ของคนแต่ละคนมี "ช่องว่าง" จากอดีตอยู่ด้วยเราอาจเรียกช่องว่างนี้ว่าเป็น "เสรีภาพ" ที่ทำให้เรามีโอกาสรังสรรค์ปั้นแต่งชีวิตของเราในอนาคตให้ผิดแปลกจากชีวิตในอดีตได้ ถ้าหากช่องว่างดังกล่าวไม่มีอยู่ เราก็หลีกหนีอดีตไม่ได้เลย คนที่เคยเป็นคนเลวก็จะเป็นคนเลวตลอดไปด้วยเหตุนี้พุทธศาสนาจึงเน้นความสำคัญของเสรีภาพนี้มากเป็นพิเศษ คำสอนเรื่องกฎแห่งกรรมไม่ต้องการให้เราไปเศร้าโศกเสียใจหรือดีใจกับอดีต (กรรม) ที่ผ่านมาแล้วและไม่ต้องการให้เราหมกหมุ่นอยู่กับการเพ้อฝันถึงอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น ศาสนาพุทธต้องการให้เรามีความกระตือรือร้นในการมีชีวิตอยู่ และ ให้สนใจแต่ปัจจุบันซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวที่เรามีอยู่และต้องการให้เราทำ ชีวิตปัจจุบันให้ดีที่สุดเพื่อจะได้เป็นปัจจัยสำหรับอนาคตที่ดี
การตัดกรรม การแก้กรรม โดยทั่วไปแล้ไม่มีใครหลีกหนีกฎแห่งกรรมได้พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายในขณะที่มีชีวิตอยู่ก็หลีกหนีวิบากกรรมทั้งหมดไปไม่ได้ บุคคล เหล่านี้สามารถหลีกหนีพ้นวิบากกรรมหรือกฎแห่งกรรมได้โดยสิ้นเชิงก็ต่อเมื่อ สังขารดับลงแล้วเท่านั้นและไม่ต้องมาเกิดในสังสารวัฏอีกต่อไป แต่สำหรับคนทั่วไปที่ยังมีกิเลสตัณหาต่าง ๆ (โดยเฉพาะโลภ โกรธ หลง) อยู่เมื่อตายไปแล้วจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏต่อไป ดังนั้นจึงหลีกหนีกฎแห่งกรรมไม่ได้
ในเรื่องของการตัดกรรมหรือการแก้กรรมในชีวิตปัจจุบันนั้น หลวงพ่อมีความเห็นว่า "การตัดกรรม" หรือ "การแก้กรรม" นั้น เป็นวิธีการพูดอย่างหนึ่งที่จะให้เรามีกำลังใจทำความดี เลิกทำบาปทั้งหลายต่อไป แต่ตามความเป็นจริงแล้วอดีตเป็นสิ่งที่เกิดและสิ้นสุดลงแล้ ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ สำหรับผลกรรมไม่ดีในอดีตนั้นเราก็คงจะหลีกหนีไม่ได้เด็ดขาดเช่นกัน แม้แต่พระพุทธเจ้าเองในขณะที่ทรงมีชีวิตอยู่ก็ทรงต้องรับิบากกรรมที่ทรงทำไว้ในอดีต สิ่งที่เราควรจะทำในปัจจุบันก็คือเร่งทำความดีให้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อกรรมดีนั้นจะได้ช่วยบรรเทาวิบากกรรมที่ติดตามมาให้มีความรุนแรงน้อยลงไปจนเหลือแต่เพียงสสิ่งที่เรียกว่า "เศษกรรม" เท่านั้น
ศีลห้า สังคมปัจจุบัน ในคำสอนของพระพุทธศาสนา ประโยชน์ของการรักษาศีลห้า มีมากมายทั้งที่เกิดแก่ผู้รักษาศีลเองและผู้อื่นที่เกี่ยวข้องประโยชน์บางอย่างเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นชัดแจ้ง และคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ อาจจะถือว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องเหลวไหลได้ ดังนั้นหลวงพ่อจึงจะไม่พูดถึงแต่ก็หวังว่าผู้รักษาศีลสม่ำเสมอจะมองเห็นผลดังกล่าวเองสำหรับประโยชน์ที่คนทั่วไปมองเห็นได้ง่าย ๆ ก็คือถ้าหากคนทุกคนรักษาศีลห้าได้แล้ว สังคมก็จะมีความสงบสุขมากขึ้นเช่นไม่มีการลักขโมย การข่มขืนและการหลอกลวง ปัญหาต่าง ๆ ของสังคมเวลาปฏิบัติของศีลห้านั้นมีอยู่แน่นอน พุทธศาสนาเน้นการปฏิบัติมากกว่าอย่างอื่น ธรรมทุกหมวดหมู่ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้นเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ ไม่ได้เป็นเพียงอุดมคติเท่านั้นแต่ส่วนจะปฏิบัติได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสติปัญญาความสามารถและความพร้อมของคนแต่ละคน
ในการรักษาศีลนั้นเราต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของศีลแต่ละข้อให้ดี มิฉะนั้นจะทำให้เข้าใจ (ผิด) ได้ว่าศีลทุกข้อมีข้อบกพร่องไม่เหมาะสมกับกาลสมัยและจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขใหม่ ที่จริงแล้วศีลห้าแต่ละข้อมีความละเอียดมากยกตัวอย่างเช่นศีลข้อสอง ที่ห้ามลักทรัพย์ผู้อื่นนั้นมีความประสงค์ที่จะไม่ให้เราได้ทรัพย์สินต่าง ๆ มาโดยไม่ถูกครรลองคลองธรรม ศีลข้อนี้มีแง่คิดที่ลึกซึ้ง เพราะ "ทรัพย์" มีหลายประเภททั้งที่เป็นวัตถุสิ่งของและไม่ตัวตนให้เห็นเช่นเวลาและความคิด ส่วน "การลักทรัพย์" นั้นก็มีหลายวิธีที่มองเห็นได้ง่ายและวิธีแอบแฝง พ่อ ค้าที่โกงลูกค้าหรือกักตุนสินค้าไว้ทำให้เกิดการขาดแคลนขึ้นเพื่อจะได้ขาย สินค้าในราคาสูงกว่าปกติก็ถือว่าเป็นการลักทรัพย์อย่างหนึ่งเพราะเป็นการได้ ทรัพย์ที่ไม่ควรได้และเป็นเหตุให้คนอื่นที่ควรจะมีโอกาสในการมีทรัพย์นั้น ต้องพลาดโอกาสไป ในบางครั้งก็ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมากจากการที่พ่อค้ากักตุนสินค้าต่าง ๆ ในทำนองเดียวกันข้าราชการหรือพนักงานบริษัทที่ใช้เวลาทำงานไม่เต็มที่แบบที่เรียกกันว่า "ทำงานเช้าชามเย็นชาม" ก็ถือว่าเป็นการละเมิดศีลข้อนี้เช่นกัน เพราะการทำงานไม่เต็มที่ทำให้หน่วยงานเสียประโยชน์ที่พึงมีพึงได้ไป นายธนาคารหรือผู้จัดการกองทุนที่โกงลูกค้าและร่ำรวยได้ทรัพย์สินต่าง ๆ มาจากความหายนะของคนอื่นหรือนายจ้างที่ขยักเงินค่าจ้างไว้ไม่ยอมจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่คนงานตามที่ตกลงกันไว้ก็ทำผิดศีลข้อสองเช่นกัน การลักทรัพย์ประเภทดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่คนมักจะมองข้ามไป ผู้ที่ลักทรัพย์ประเภทนี้เองก็มักจะไม่สำนึกผิด บางคนกับชืนชมความฉลาดและสามารถของตนที่ทำตัวเป็นโจรแต่ไม่มีคนรู้และจับได้ คนประเภทเป็นอันตรายแก่ความเจริญก้าวหน้าของสังคมไทย ถ้าหากสังคมไทยไม่โจรประเภทนี้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่เรากำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ก็คงจะร้ายแรงน้อยลง
No comments:
Post a Comment